เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราไปวัดไปทำบุญเนาะ เราทำบุญทำกุศลเพื่อความสุขความสงบระงับในใจของเรา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างนั้น เราเป็นชาวพุทธไง เวลาจะเข้าพรรษา เห็นไหม หลวงตาท่านสอนว่า ให้ตั้งใจว่า วันหนึ่งใส่บาตร แม้แต่พระองค์หนึ่งก็ยังดี ใส่บาตรพระ ๑ องค์ก็ยังดี ทั้งพรรษานั้นน่ะ เพื่ออะไร? เพื่อให้มันผ่อนคลายไง
ในจิตใจของเรามันหมักหมมนะ ความรู้สึกนึกคิดมันทับถมหัวใจ แต่ได้เสียสละ ได้ต่างๆ มันจะหมุนเวียนของมัน ถ้าหมุนเวียนของมัน เห็นไหม ถ้าจะเข้าพรรษา เราตั้งใจว่าใส่บาตรสักองค์ก็ยังดี นี่ก็เหมือนกัน เราตั้งใจมาทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพราะว่าอะไร เพราะเราเชื่อในรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกของเรา ถ้าแก้วสารพัดนึกของเรานะ นี่พูดถึงฟังธรรมๆ
ธรรมมันคือสภาพ เห็นไหม น้ำนะ เวลาปรับสภาพของมัน ที่ไหนต่ำมันจะไหลของมันไป จนกว่ามันจะสูงขึ้นมาโดยตามธรรมชาติของมัน เขาเอามาทำเป็นระดับน้ำ การวัดความเสมอภาค ถ้าน้ำที่ไหนที่ต่ำ มันจะไหลของมันไปที่นั่น ทีนี้เรามองธรรมะๆ ความเสมอภาคๆ ไง เรามองทะเล เห็นไหม ทะเล ดูสิ เราดูมันราบเรียบไปหมดเลย แต่เราไม่รู้หรอกว่าที่ไหนมันน้ำลึกน้ำตื้น นี่น้ำ มันลึกมันตื้น เห็นไหม
ดูสิ สายบัว ถ้าสายบัวยาวขนาดไหน มันจะหยั่งลึกว่าน้ำที่นั่นลึกขนาดไหน ถ้าสายบัวมันสั้น น้ำก็ตื้น นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดของคน ถ้าคนรู้สึกว่าเก็บความรู้สึกนึกคิดเราไม่ได้ นี่สายบัวมันยาว ถ้าความรู้สึกนึกคิดของคนเก็บไว้ไม่ได้ สายบัวสั้นๆ สายบัวสั้นมันแสดงออกของมันไปอย่างนั้นแหละ นี่พูดถึงสายบัว ความลึกความตื้นของมันแตกต่างกัน ในสภาพน้ำก็เหมือนกัน
ทีนี้พอว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นความเสมอภาค ธรรมะต่างๆ เราจะเอาความเสมอภาคๆ
คนเรามันมาไม่เหมือนกันหรอก จิตใจของคนก็ไม่เหมือนกัน ความทุกข์ความยากของคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกัน มันก็อยู่ที่เราไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ สอนตั้งแต่ระดับพื้นๆ ขึ้นไป พื้นๆ ขึ้นไป ให้เสียสละกัน
ให้เสียสละ เสียสละมันเป็นประโยชน์อะไร พอเสียสละ มันมีแต่ของของเราหามาด้วยความทุกข์ยาก เราเสียสละไปทำไม
ก็เสียสละไปเพื่อฝึกฝนใจที่ตระหนี่ถี่เหนียวไง เสียสละไปเพื่อฝึกหัดใจไง ถ้ามีการเสียสละขึ้นมา ถ้าใจมันเสียสละ มันไม่เห็นแก่ตัวไง
เพราะคนเห็นแก่ตัว เห็นไหม สังคมที่มันมีปัญหากันอยู่นี้เพราะอะไร เพราะคนรับความคิดเห็นต่างไม่ได้ เขามีความคิดเห็นต่างจากเรานี่เรารับไม่ได้เลย เราจะให้คนมีความคิดเห็นเหมือนเราไปหมดเลย น้ำต้องมีลึกอย่างเดียว ตื้นไม่มี ตื้นไม่ได้ ต้องให้มีลึกอย่างเดียว
แล้วน้ำลึกไม่ได้ ไปดูทะเลสิ ทะเลเวลามันลึก ๒-๓ กิโลเมตรนู่นน่ะ แต่เวลาชายฝั่งขึ้นมา คนที่อยู่ชายฝั่ง พวกชาวประมงเขามีอาชีพของเขา เขาอยู่ชายฝั่ง ดูสิ หัวเมืองตามชายฝั่งตามริมทะเล เขาจะมีความอุดมสมบูรณ์ของเขาด้วยอาหารความเป็นอยู่ของเขา นี่ความเป็นอยู่ของเขา แต่เวลาเขาเกิดพายุต่างๆ เขาก็ต้องผจญภัยของเขาเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ที่เรารู้เราเห็น เรารู้เราเห็นจะให้มันเหมือนกันๆ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องย้อนกลับมาดูที่ใจเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจของคน
แต่เราไปมองเป็นวิทยาศาสตร์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ต้องคนเสมอภาค ความเป็นอยู่ต้องเหมือนกัน กินต้องเหมือนกัน นอนต้องเหมือนกัน
มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทุกคนเวลากินอาหาร ทุกคนก็ชอบตามจริตนิสัยของตัว เวลาจะหลับจะนอน คนจะหลับจะนอน คนที่อยู่ด้วยกันนะ ถ้าคนนอนกรนนอนใกล้ๆ น่ารำคาญมากเลย นอนทีไรก็กรนทุกที แต่คนที่เขากรนเขาก็ไม่รู้ตัวของเขาหรอก ถ้าเขาไม่หลับเขาก็ไม่กรนหรอก ถ้าเขาหลับเขาถึงจะกรน เห็นไหม
จริตนิสัยของคนก็เหมือนกัน เวลามันแสดงออก มันแสดงออกมามันก็นิสัยส่วนตัวของคนใช่ไหม ถ้านิสัยส่วนตัวของตน จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกัน ทุกคนก็ต้องเข้าไปดูแลรักษาใจของตัว เพราะใจของตัวมันสร้างแต่ความเป็นพิษเป็นภัยให้กับตัวเอง ถ้ามันจะสร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลมาจากไหนล่ะ
ถ้าสร้างบุญกุศล เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แก้วสารพัดนึกๆ เพราะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาว่าความเสมอภาค ความเสมอภาคของระดับน้ำ น้ำราบเรียบเหมือนกัน แต่จริตนิสัยของคนมันลึกตื้นแตกต่างกันไป
ถ้าจริตนิสัยของคนแตกต่างกันไปด้วยความเสมอภาค เวลาพระอาทิตย์ส่องเข้าไป ไม่ลำเอียงบ้านใครทั้งสิ้น ทีนี้บ้านของเรามันไปปลูกอยู่ในหุบเขา บ้านเราไปปลูกอยู่ที่พระอาทิตย์ส่องไม่ถึง แล้วทำอย่างไรล่ะ พระอาทิตย์ลำเอียงใช่ไหม? ไม่ลำเอียงหรอก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราไปวัดไปวา เห็นไหม เราไปเพื่อเสียสละของเรา ถ้าเสียสละของเรา เสียสละเพื่อสิ่งใด เนื้อนาบุญๆ หว่านพืชหวังผลนะ เราหว่านพืชสิ่งใดลงไป เราก็ได้ผลสิ่งนั้นมาทั้งนั้นแหละ เราทำบุญกุศลที่ไหน เราทำสิ่งใดขึ้นมา ถ้ามันเป็นเนื้อนาบุญที่ดี เราจะชื่นใจของเรา แต่ถ้าความเห็นของเรามันไม่เปิดกว้าง เราหว่านพืชไปแล้ว พืชของเรางอกงามขึ้นมา เรายังไม่รู้ว่าพืชเรางอกงาม เพราะเราไม่รู้จักมันไง
นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญๆ บุญมันคืออะไร บุญมันคืออะไร นี่ทำบุญกุศลเพื่อปรับพื้นที่ของเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ทาน ศีล ภาวนา นี่น้ำตื้นน้ำลึกแล้ว เวลาน้ำตื้นน้ำลึกนะ คนตื้นๆ เวลาทำสิ่งใดไปมันก็สงบระงับของมันขึ้นมาได้ แต่คน ถ้าน้ำลึกๆ นะ เราหยั่งเท้าเราไม่ถึงน้ำเลยนะ
นี่ก็เหมือนกัน เราจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เราจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้แต่ตัวเราเองเรายังไม่รู้จัก แล้วเราไปหาครูบาอาจารย์ เห็นไหม จะแก้อย่างไร จะแก้อย่างไร แล้วเรื่องของเราล่ะ เรื่องของเรา เราจะแก้ของเราอย่างไร
ถ้าเราแก้ของเราอย่างไรนะ เราพยายามตั้งสติของเรา ถ้าตั้งสติของเรา เท้าของเราจะหยั่งถึงพื้นให้ได้ ถ้าเท้าของเราหยั่งถึงพื้นได้ นี่น้ำตื้นน้ำลึก เราหยั่งถึงพื้นได้ เราจะยืนของเราได้ จิตใจของเราถ้ามันสงบระงับเข้ามา เราจะรู้จักของเราได้ เราจะเห็นของเรา แล้วใครจะมาหลอกเราได้ น้ำตื้นน้ำลึกมันเรื่องของเขา แต่เท้าเราหยั่งกับพื้นนี่เรารู้ของเรา
ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา ความรู้ความเห็นของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก อันนี้มันยืนยัน ยืนยันในใจของเราเลย ถ้ามันยืนยันในใจของเรา เห็นไหม เราจะไม่หวั่นไหวไปกับโลก เราจะไม่หวั่นไหวไปกับกระแสสังคม
กระแสสังคมมันพัด นี่ลมปากของคนนะ ลมปากของคน ติฉินนินทา มันทำให้เราสั่นไหวได้หมดเลย แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เสียงนกเสียงกามันให้ประโยชน์กับใครบ้าง เสียงนกเสียงกามันก็เสียงนกเสียงกาทั้งนั้นแหละ คำพูดของคนมันก็แค่นั้นแหละ แต่ของเรานี่เรามีตัวตนของเราไง เรามีตัวตนของเรา ถ้าเรามีตัวตนของเรา เราไม่เป็นจริงตามที่เขาพูด เราไม่เป็นความจริงตามนั้น เราก็หวั่นไหว
แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ นี่กรรมของคน ถ้ากรรมของคน เห็นไหม นี่สภาวกรรม เราเกิดมานี่ผลของวัฏฏะ ถ้าผลของวัฏฏะ เราเกิดมา ถ้ามันมีอำนาจวาสนา เราจะไม่เจอคนแบบนั้น เราจะเจอหมู่คณะที่ดี เราจะเจอสรรพสิ่งที่ดี นี่เวลาประพฤติปฏิบัติก็เรื่องสัปปายะ ๔ สัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ
นี่ก็เหมือนกัน หมู่คณะของเรา หมู่คณะที่เป็นสัปปายะ เขาจะไม่ติฉินนินทาเรา มิตรแท้ มิตรเทียม ถ้ามิตรแท้ขึ้นมา เราจะตกทุกข์ได้ยากขนาดไหน เราจะผิดพลาดขนาดไหน เขาจะแก้ให้เราได้ เขาจะช่วยเหลือเจือจานได้ นี่มิตรแท้ มิตรแท้เขาจะมองเรา เวลาเราทุกข์เรายาก มิตรแท้ไม่ทิ้งเรา แต่มิตรเทียม คนเทียมมิตร อยู่ด้วยกันมันยังแทง อยู่ด้วยกัน เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ
ผลของวัฏฏะไง คน ๒ คนเกิดขึ้นมาแล้วอยู่ด้วยกันมันต้องมีกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ถ้าเราจะไปหวังว่าให้เขาเหมือนเรา ธรรมดานะ เวลาทางวิทยาศาสตร์ ทางโลก เห็นไหม รัฐบาล รัฐสวัสดิการเขาต้องดูแลไปทั้งหมด นี่ก็เหมือนกัน เราอยากให้สังคม ทุกคนมีความสุขๆ ไปหมด
ทะเลถมไม่เต็มหรอก ตัณหาความทะยานอยากของคน ถมมันไม่เต็มหรอก แต่ถ้ามันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของคน เราชักนำเขาได้ เราพูดกันได้ เราเคลียร์ปัญหากันได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ทิฏฐิมานะ กิเลสของคน นี่เคลียร์ได้มันเคลียร์ได้แต่ผิวเผินไง แต่หัวใจมันเคลียร์ได้ไหมล่ะ
ถ้าหัวใจเคลียร์ไม่ได้ เห็นไหม พรหมวิหาร ๔ มันเป็นธรรมของผู้บริหารไง ถ้าพรหมวิหาร ๔ ถึงที่สุดแล้วอุเบกขา ถ้าเราไม่อุเบกขา เราจะแบกหาม โลกเป็นแบบนี้ ถ้าน้ำลึกจนหยั่งกันไม่ได้ เราก็ต้องอุเบกขาของเราแล้ว เรารักษาใจของเราไง เรารักษาใจของเรา เราจะไม่ทุกข์ร้อนไปกับเรา
คนจมน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราก็ว่ายน้ำไม่เป็น โดดอุ้มเลย จะช่วยคนนี้ๆ
จะช่วยคนนี้ เขาก็ลากเราจมน้ำไปน่ะสิ ถ้าช่วยคนนี้ๆ เราต้องว่ายน้ำของเราให้แข็งขึ้นมาก่อน ถ้าเราว่ายน้ำให้แข็งขึ้นมาก่อน เราส่งสิ่งใดไปวัตถุใดไปให้เขาจับแล้วเราดึงขึ้นมา นี่จะไปใกล้เขาให้เขาเกาะ เราจมน้ำเลย เห็นไหม ถ้าเรามีปัญญา ปัญญาเราเกิดขึ้น เราจะเข้าใจว่าสิ่งใดควรและไม่ควร
ถ้าสิ่งใดควรไม่ควร นี่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีลึกมีตื้น เวลามันมีหนักมีเบา ถ้ามีหนักมีเบานะ ถ้าเวลาทำนะ หลวงตาท่านบอกว่าท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเหมือนกับพ่อกับลูก เวลาคุยเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ คุยเรื่องในวัดในวา คุยในเรื่องความเป็นอยู่ เหมือนพ่อกับลูก ท่านพูด ท่านเมตตามาก พูดเล่นพูดหัว พูดมีความสุขมาก แต่หันเข้าธรรมะไม่ได้ หันเข้าธรรมะแล้วไม่มีพ่อไม่มีลูกนะ เต็มที่เลย
สัจจะเป็นสัจจะไง ความจริงเป็นความจริงไง ถ้ายิ่งรักขนาดไหน ยิ่งถนอมขนาดไหน เวลาเรื่องสัจจะนี่ต้องเต็มที่เลย เต็มที่เพราะอะไร เต็มที่เพราะคนที่ผ่านอย่างนี้มา ท่านรู้ ท่านรู้ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนมันล่อมันหลอก มันปลิ้นปล้อนขนาดไหน แล้วขณะที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กว่าเราจะมีศรัทธาความเชื่อนะ
ดูชาวพุทธเราสิ เห็นไหม พระพุทธศาสนาสอนอะไร ลัทธิศาสนาอื่นเขามีตำรวจศาสนานะ เขาคอยควบคุมดูแล ของเราชาวพุทธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดอิสรภาพเต็มที่เลย ใครจะเชื่อก็ได้ ใครไม่เชื่อก็ได้ กาลามสูตรอีกด้วย
เวลากาลามสูตรนะ ไม่ให้เชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเรา นี่ท่านเปิดกว้างขนาดนั้น ท่านเปิดกว้างขนาดนั้นนะ แต่เวลาเรามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมาแล้ว เราปฏิบัติของเรา นี่เวลาเราจะปฏิบัติ ปฏิบัติเพราะอะไร
เราปฏิบัติ เห็นไหม ทะเลมันมีระดับน้ำของมัน มีลึกมีตื้นขนาดไหน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่คุณงามความดีในศาสนามันมีมหาศาลขนาดไหน แต่เรามองกันผิวเผินไง เรามองกัน ศาสนบุคคล พระเป็นศาสนบุคคล ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นล่ะธรรมโอสถ ธรรมโอสถนั้นมันสามารถชำระล้างจนกว่าเราสิ้นกิเลสไปได้ นี่ธรรมที่ดีเป็นอริยทรัพย์ๆ
ทรัพย์สมบัติที่เราหามาเป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาเพื่อประโยชน์การดำรงชีวิตของเรา แต่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา เห็นไหม แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เทวดา อินทร์ พรหมเขายังรู้เรื่องของหัวใจของเขาไม่ได้ แล้วเรานี่ เราเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามจะฝึกหัดกันขึ้นมาให้มันเกิดอริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายในขึ้นมา
แก้วแหวนเงินทองมันตีค่าได้ สมาธิ เวลาทำขึ้นมาในหัวใจ มันตีค่าไม่ได้ มันมีค่าสูงส่งจนวัดคำนวณเป็นราคาไม่ได้ ถ้าคำนวณเป็นราคาไม่ได้ มันมีประโยชน์ขนาดไหน มันมีคุณธรรมขนาดไหน มันมีความดีงามขนาดไหน
แล้วสิ่งที่สัมผัสมาได้ สิ่งที่รับได้ นี่แก้วแหวนเงินทองเรารับได้ด้วยบัญชี ด้วยการคำนวณว่ามีมากน้อยขนาดไหน แต่หัวใจ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีในหัวใจ มันเอาสิ่งใดไปเทียบเคียง นี่สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์ๆ
ฉะนั้น เรื่องระดับของทาน อย่างที่ว่าหลวงตาท่านพูด ให้หัวใจมีหลักมีที่ยึด ถ้าเราเป็นชาวพุทธๆ ให้เป็นชาวพุทธจริงๆ ในพรรษาหนึ่ง เราก็ตั้งใจทำบุญตักบาตรพระวันละองค์ก็ยังดี ถ้าไม่ได้ เราก็พยายามภาวนาของเรา พยายามหาจุดยืนของเรา
ทีนี้คน ขนาดทำวัตถุไม่ได้ มันจะภาวนานี่มันเร่ร่อน แล้วภาวนาขึ้นไป เห็นไหม ดูสิ ภาวนาขึ้นไปก็เป็นความรู้สึกนึกคิด มันก็เป็นเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องภูตผีปีศาจ เรื่องอ้อนวอน เรื่องขอเอา เพราะอะไร เพราะมันโลภมาก โลภมาก ทำบุญแล้วก็อยากจะร่ำอยากจะรวย เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็อยากจะเห็นผีเห็นสาง เป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์มีเดชไป นี่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มันไม่เป็นเรื่องเข้าพุทธศาสน์เลย
ถ้ามันจะเข้าพุทธศาสน์ขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเรามีบุญกุศล เราทำทานของเรา เรามีศีล ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีล ความปกติของใจ ถ้าจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา พอจิตสงบแล้วมันไปเห็นภูตผีปีศาจที่ไหนล่ะ
ก็ไอ้ผีตัวนี้ ผีตัวทุกข์ตัวยาก ไอ้ผีที่มันปฏิบัติอยู่นี่ มันยังสงบระงับไม่ได้เลย แล้วจะไปรู้ไปเห็นผีข้างนอกที่ไหนล่ะ นี่ไง เพราะอะไร เพราะถ้ามีทาน มีศีล เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นเรื่องพุทธศาสน์ เรื่องศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้ามันไม่มีเรื่องของทานก็ตระหนี่ถี่เหนียว อยากได้ อยากดี อยากเด่น พอเวลาปฏิบัติขึ้นไปมันก็เป็นเรื่องไสยศาสตร์ไปซะ เพราะมันอยากได้อยากดี กิเลสมันปลิ้นปล้อน กิเลสมันหลอกลวง กิเลสมันสร้างภาพไปทั้งนั้นแหละ
ถ้าครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านจะรู้ของท่านอย่างนี้
หญ้าปากคอกๆ ทำใจให้สงบนี่มันแสนยาก ละทิ้งสิ่งที่กิเลสมันกระตุ้นในใจนี่มันละได้แสนยาก ถ้ามันละสิ่งนี้ได้ มันก็เข้ามาสงบระงับ ถ้ามันสงบระงับแล้ว ถ้ามันออกฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะใช้ปัญญา นี่อริยทรัพย์มันเกิดตรงนี้ไง พระพุทธศาสนามันเกิดตรงนี้ไง
เกิดตรงที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตสงบแล้ว อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกจนสงบระงับ แล้วใช้ปัญญาขึ้นไป เป็นอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในหัวใจของตัว งานอย่างนี้เป็นงานของใครล่ะ
ดูสิ อาบเหงื่อต่างน้ำ บ่นว่าทุกข์ว่ายาก เวลามานั่งสมาธิเฉยๆ ให้จิตใจมันภาวนาขึ้นมา สิ่งนี้มันทำได้อย่างไร แล้วเวลาพระ วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย
เขาทำใจของเขา เขาดูแลใจของเขา เพราะใจของเขามันทุกข์มันยาก ดูสิ เสียสละ เห็นไหม เสียสละตั้งแต่ความเป็นอยู่ของโลก นี่ความเป็นอยู่ของโลก เห็นไหม มือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครมีปัญญาขนาดไหน สาวได้สาวเอา เว้นไว้แต่คนที่เขามีคุณธรรมในหัวใจ เขาก็ทำของเขาด้วยความเป็นธรรม ธรรมาภิบาลๆ นี่เสียสละสิ่งนั้นขึ้นมาเพื่อเป็นนักรบ รบกับอะไร? รบกับความรู้สึกนึกคิดไง รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่นี่
สิ่งที่มันหยั่งพื้นไม่ได้ๆ หยั่งพื้นไม่ได้คือจิตสงบไม่ได้ หยั่งพื้นไม่ได้คือไม่รู้จักตัวตนของตัว เวลาไปถามแม่ แม่ หนูเกิดเมื่อไหร่ แม่ หนูเกิดอย่างไร นี่ตัวเองเกิดมาตัวเองไม่รู้ว่าตัวเกิดมาอย่างไรเลย
พอจิตมันสงบขึ้นมา ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปถามพ่อถามแม่ ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า ไม่ต้องถามใครเลย จิตมันสงบ มันสงบของมันเอง มันสงบของมันเอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันมีความรู้สึกของมัน นี่เวลามันออกฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน ถ้าออกฝึกหัดใช้ปัญญานี่มันยาก มันยากเพราะอะไร
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ เพราะขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญา พุทธปัญญา พุทธวิสัย เวลาจะสอนใครยังว่า จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ
แล้วเราเป็นไสยศาสตร์ จับพลัดจับผลู แหม! พระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมือง มันจับพลัดจับผลูมานี่ไสยศาสตร์ทั้งนั้น มันเป็นความเห็นของกิเลสทั้งนั้น ถ้าความเห็นของธรรมล่ะ
ความเห็นของธรรมที่อริยทรัพย์ๆ สิ่งที่ทำมา มันมีพื้นฐาน ถ้ามีพื้นฐาน ถ้ามีทาน ทาน จิตใจมันเป็นสาธารณะใช่ไหม คำว่า สาธารณะ มันไม่เอียงไง ไม่เอียงเขาเอียงเรา ถ้ามันไม่จริง ไม่จริงหรอก ถ้าไม่จริงมันก็สงสัย ถ้าสงสัย เราควรจะใคร่ครวญอย่างใด นี่ถ้ามันสงสัยใช่ไหม
ถ้ามันทำความสงบเข้ามาจริง อืม! ถ้ามันไม่สงสัย เพราะมันรู้จริงตามความเป็นจริงของมัน แล้วเวลาเราออกใช้ปัญญาล่ะ ปัญญา ภาวนามยปัญญาออกใช้อย่างไร ถ้ามันใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้มันยังทำงานไม่เป็น ก็ต้องกลับมาสงบก่อน กลับมาตั้งฐานของเราให้ได้ก่อน พอฐานของเราตั้งให้ได้ เราฝึกหัดมัน ทำของมัน
แล้วเราทำแล้ว คนอื่นทำไมเขาทำแล้วเจริญรุ่งเรืองของเขา ทำไมเราล้มลุกคลุกคลานล่ะ
นี่ก็ย้อนกลับมาที่ทานแล้วไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนอยากจะอังคาส อังคาสคือถวายอาหารด้วยมือของตนเองแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาอยากทำๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีองค์เดียว แล้วคนปรารถนาขนาดนั้นมันมหาศาลขนาดไหน
เขาก็บอกว่า นี่เพราะว่าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็อยากถวายทาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ใช่หรอก เราทำของเรามาเองทั้งนั้นแหละ เพราะเราทำของเรามาเอง บารมีถึงเต็ม
พอบารมีเต็มขึ้นมา เวลาภาวนาขึ้นไป เห็นไหม ดูสิ พญามารจะล่อขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต่อสู้กับมันจนพ้นจากกิเลสไปได้ แล้วของเรา เวลาเราปฏิบัติไป ทำไมเราทำไม่ได้ๆ นี่มันก็ย้อนกลับมาที่นี่ไง ย้อนกลับมาที่เราทำมาอย่างนี้ไง ถ้าเราทำมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้แล้ว แล้วปัจจุบันเราเป็นเราแล้ว เราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจเอากับใคร เวลาเสียสละทาน เวลาทำบุญกุศล เราก็บอกตระหนี่ถี่เหนียว ไม่อยากไปๆ มันก็ไม่มีความเข้มแข็ง
อินทรีย์ จิตที่เป็นอินทรีย์แก่กล้า ความที่มีความมั่นคงของใจ
นี่มันไม่มีหลักของมัน แต่ถ้าเราเสียสละของเรา ดูสิ ความตระหนี่ถี่เหนียว เสียสละออกไปๆ มันเป็นสาธารณะ มันเข้มแข็งของมัน เวลามันเข้มแข็งของมัน มันทำสมาธิของมัน เวลาเกิดเป็นสมาธิ ฝึกหัดใช้ปัญญา มันก็มีฐานของมัน
คนมีแขนมีขามันลุกมันเดินของมันไปได้ คนไม่มีแขนมีขามันก็กลิ้งเอาไป นี่เราทำของเราอย่างนี้ เราก็หมุนไปกลิ้งไปคลานไปประสาเราสิ ก็เราทำมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้ แล้วเราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับใครล่ะ
เวลาเขาทำกันก็ไปติเตียนเขา คนนู้นทำอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ คนโง่ คนไม่มีปัญญา ไอ้เรามีปัญญา
มีแก้วแหวนเงินทองก็ทับไว้ ให้มันทับหัวอกตายอยู่นั่นน่ะ แล้วมันได้อะไรไปล่ะ มันก็ทับร่างกายตายอยู่นั่นน่ะ
แต่ถ้ามันเสียสละออกไป คนอื่นได้ประโยชน์ มันได้บารมีมา มันได้บารมีมา เวลาจิตมันสงบขึ้นไปแล้ว เวลาเขาทำของเขาขึ้นมามันก็เกิดปัญญาขึ้นมา พอปัญญาขึ้นมา มันหมุนออกไป เห็นไหม ธรรมจักร จักรเคลื่อนแล้ว จักรเคลื่อน เห็นไหม เวลาจักรเคลื่อน
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเกิดกับเรานะ มันมหัศจรรย์ มนุษย์คนหนึ่งทำไมทำได้อย่างนี้ ทำไมมนุษย์คนหนึ่งรู้เรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดนี้ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ไหนล่ะ? มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ในหัวใจ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขณะที่ปัญญามันเกิด นี่ไม่มีใครรู้
คนไม่รู้ ไม่เคยเห็น คนไม่เคยเห็นพูดไม่ได้ แล้วเทวดา อินทร์ พรหมเขาเป็นทิพย์ ทำไมเขาต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ ทำไมเขาต้องมาล่ะ? เพราะเขาก็ไม่รู้ไม่เห็นเหมือนกัน เพราะสถานะของเขา ภพชาติของเขาเป็นอย่างนั้น ภพชาติมันก็เหมือนมนุษย์เรานี่แหละ แต่เวลาเราทำ เพราะเรามีสติปัญญาใช่ไหม
เรามองไป ดูสิ เวลามองไป เรามองถึงเรื่องศาสนา เราก็มองถึงความเสมอภาค ทุกคนก็ว่าความเสมอภาค แล้วความเสมอภาค นี่เป็นความเสมอภาค เป็นเสรีภาพ ก็ว่ากันไป เสมอภาค เสรีภาพ มันก็แค่ชั่วลมหายใจเข้าลมหายใจออกเท่านั้นแหละ
แต่ถ้าปัญญามันเกิด มันมีอำนาจวาสนาบารมี มันมีการกระทำ มันมีต่างๆ สะสมมามหาศาล แต่เวลามันสำเร็จไปแล้วสิ โสดาบันนะ จะทำสิ่งใดมา จะทำวิธีการใดมา โสดาบันก็คือโสดาบัน แต่ถ้าอภิญญา มีความรู้เห็นต่างๆ อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีที่สร้างสมมา มันเป็นอีกแขนงหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นสัจจะนะ อริยสัจจะมันมีหนึ่งเดียวเท่านั้นแหละ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เท่านี้ แต่สิ่งที่มรรค ๔ ผล ๔ คนที่เข้ามา ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเข้ามา ขิปปาภิญญา มันปฏิบัติง่ายรู้ง่ายเลย
เวลาเป็นอริยสัจ ล้มลุกคลุกคลาน ต้องกระเสือกกระสนกันไปเลย แต่ถ้ามันจบแล้วก็เป็นโสดาบันเหมือนกัน เหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน อริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้ามีหนึ่งเดียว เราปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของเรา มันปฏิบัติขึ้นมาอย่างนี้
ฉะนั้น มันจะลึกจะตื้น มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน การที่จิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจที่เปิดกว้างเท่าไร มันก็จะทำให้เรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเท่านั้น แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันก็จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง มรรคญาณหนึ่ง เข้าไปทำลายความเป็นหนึ่งอันนั้น
ถ้าทำลายความเป็นหนึ่งอันนั้น เห็นไหม มันทำภวาสวะทำภพ รื้อภพรื้อชาติ ปฏิสนธิจิต ภพชาติอันนี้มันจะเวียนตายเวียนเกิดไป เพราะมีภพชาติในความรู้สึก มันจะมีภพชาติต่อๆ ไป ทำลายภพทำลายชาติอันนี้แล้วมันก็จบ แต่จบอย่างนี้น้ำลึกมาก
ฉะนั้น เราอยู่ชายฝั่ง เราไม่ถึงกับออกทะเลได้ เราฟังธรรมแล้ว ฟังธรรมแล้วยึดเป็นคติไว้ แล้วสิ่งที่เราจะทำขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์ของเรา เราจะไม่หวั่นไหวไปกับกระแสสังคม ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใดทั้งสิ้น
นั่นเป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของคนคนหนึ่ง คนคนหนึ่งทำดี ทำชั่ว เป็นของคนคนนั้น จิตใจของเรา เราทำดีของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อจิตใจของเรา เพื่อหัวใจของเรา เอวัง